วิธีการกำหนดจำนวนรถไฟฟ้าสำหรับใช้ให้บริการเดินรถและทำงานซ่อมบำรุง
A Methodology to Determine the Number of Rolling Stock for Transportation Services and Preventive Maintenance
Abstract
เนื่องจากรถไฟฟ้าซึ่งเป็นหัวใจหลักในธุรกิจการให้บริการเดินรถไฟฟ้ามีราคาแพงมาก จึงต้องมีการบริหารจัดการการใช้งานให้มีประสิทธิภาพมากที่สุด งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อหาจำนวนรถไฟฟ้าที่น้อยที่สุดสำหรับให้บริการและทำงานซ่อมบำรุงเชิงป้องกัน โดยแบบจำลองทางคณิตศาสตร์ถูกนำมาใช้ในการหาจำนวนรถไฟฟ้าที่น้อยที่สุดสำหรับให้บริการตามตารางเดินรถที่กำหนดจากผลการคำนวณจะต้องการรถไฟฟ้าอยางน้อยจำนวน 240 ขบวน สำหรับโครงการรถไฟฟ้าในอนาคตในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑลซึ่งมีระยะทางการให้บริการรวม 509 กิโลเมตร โดยพบว่าระยะทางและเฮดเวย์ในการให้บริการเดินรถจะส่งผลต่อจำนวนรถไฟฟ้าที่ต้องการ ทั้งนี้รถไฟฟ้าขนส่งมวลชนมักจะมีรถไฟฟ้าที่ว่างจากการให้บริการในชั่วโมงปกติระหว่างช่วงเวลาเร่งด่วน วิธีการฮิวริสติกจึงถูกนำมาใช้เพื่อจัดตารางเดินรถและจัดตารางงานซ่อมบำรุงในเวลาว่างจากการใช้บริการของรถไฟฟ้าซึ่งจะสามารถระบุจำนวนรถไฟฟ้าที่น้อยที่สุดที่ต้องการสำหรับให้บริการและทำงานซ่อมบำรุงเชิงป้องกัน
Since rolling stock which is the key equipment in a railway business is very expensive, it must be used the most efficiently. The objective of this paper is to determine the minimum number of the rolling stock that is sufficient for services in a given timetable and the preventive maintenance. A mathematical model was used to determine the minimum number of the rolling stock for a given timetable. As the results, at least 240 trains are needed for the future railway projects of Bangkok Metropolitan Region with the total service distance of 509 kilometers. It was found that the minimum number of the rolling stock depends on the service distance and headway of services in the peak hour period. Moreover, there may be some trains those are available from services during off-peak hour. A heuristic approach was used to schedule services and preventive maintenance tasks and determine the minimum number of the rolling stock for transportation services and preventive maintenance.
Keywords
DOI: 10.14416/j.kmutnb.2018.01.020
ISSN: 2985-2145